รอยแผลเป็นหายเองได้ไหม
แผลเป็นเป็นปัญหากวนใจใครหลายๆคน เพราะอาจจะทำให้เราเกิดความไม่มั่นใจ ซึ่งหลายคนสงสัยว่า รอยแผลเป็นหายเองได้ไหม ?
หรือจะต้องทาครีมบำรุง หรือเลเซอร์รอยแผลเป็นให้หายไป วันนี้ สุขภาพดีดี.com ได้รวบรวมข้อมูลดีดีเกี่ยวกับรอยแผลเป็น มาให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ
แผลเป็นเกิดขึ้นจากกระบวนการหนึ่งของการรักษาแผลที่ร่างกายสร้างขึ้น ร่างกายจะทำการการผลิตโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าคอลลาเจน
เพื่อช่วยสร้างเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายขึ้นใหม่ ทำให้บาดแผลหายเป็นปกติในที่สุด แต่สิ่งที่จะหลงเหลือเอาไว้นั้นก็คือ “รอยแผลเป็น”
ซึ่ง รอยแผลเป็นไม่มีวันหายขาดได้ สามารถจางลงได้เพียงเท่านั้น แต่ปกติแล้วหากไม่ได้เป็นแผลเป็นลึกหรือมีบริเวณกว้าง ก็มีโอกาสที่จะจางลงและกลับมาเป็นปกติสูงมากค่ะ
รอยแผลเป็นแบ่งออกเป็น 3 ประเภท |
มาเริ่มกันที่ทำความรู้จักกับรอยแผลเป็นกันก่อนนะคะ รอยแผลเป็นมีมากมายหลายชนิด แต่ที่เป็นปัญหาหลักๆจะมี 3 ชนิดค่ะ
แผลเป็นแบบเนื้อแหว่งหายไปหรือแบบบุ๋ม สังเกตดูก็จะเห็นว่าผิวตรงนั้นจะยุบตัวมากกว่าผิวปกติ
แผลเป็นแบบนูน จะเป็นแผลที่มีเนื้อแข็ง แต่ว่าจะนูนตามแนวแผลเดิมเท่านั้น
แผลเป็นแบบคีลอยด์ จะเป็นแผลคล้ายๆ แบบนูน แต่ขอบเขตการปูดของแผลเป็นจะลุกลามออกมามากกว่ารอยแผลเดิม และมีขนาดใหญ่มากขึ้น
การรักษารอยแผลเป็น |
1.ปล่อยให้จางลงไปเอง ซึ่งระยะเวลาในการจะทำให้รอยแผลเป็นนั้นจางลงนั้น จะใช้ระยะเวลาอยู่ที่ 12-18 เดือน หรือถ้าหากเป็นรอยแผลเป็นจางๆก็จะให้เวลาเพียง 6-12เดือนเท่านั้น
2.ทาครีมลดรอยแผลเป็น โดยยาทาที่ใช้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นยาทา ที่ช่วยในเรื่องการลดการทำงานของเม็ดสีดำที่ผิวหนัง หรือเมลานิน และยาทาที่มีสารออกฤทธิ์เป็น Anti-oxidant ซึ่งช่วยในการลดรอยดำของแผล สำหรับแอดมินเอง
แอดมินเลือกใช้ Kelosil เนื่องจาก Kelosil จะมีความแตกต่างจากครีมลดรอยแผลเป็นทั่วๆไปที่จะทาแล้วซึมเข้าไปในเนื้อผิว แต่ตัว Kelosil จะเป็นการเคลือบรอยแผลเป็นนั้น ทำให้เรามั่นใจได้ว่าครีมที่เราทาไปนั้นจะไม่หลุดหายไปไหนระหว่างเราใช้ชีวิตประจำวัน
วิธีการใช้ : ซิลิโคนเจลบาง ๆเคลือบบริเวณจุดแผลเป็นเพื่อลดการก่อตัวของผิวส่วนเกินและความเข้ม,รอย ของพื้นผิวที่ผิดปกติหรือเป็นแผลเป็นได้
3.การฉีดสารเพื่อลดรอยแผลเป็น ซึ่งวิธีนี้เป็นการใช้สารยาที่เป็นตัวสารเคมี ซึ่งการใช้ยาหรือสารเช่น Bleomycin หรือยาที่มีส่วนผสมของSteroid ออกฤทธิ์ลดขนากที่กว่างใหญ่นูนของแผลให้เล็กและนุ่มลงได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับแพทย์ในการพิจารณาปริมาณที่ใช้ตามขนาดของแผล
4.การทำเลเซอร์ ใช้พลังงานเลเซอร์ส่งไปยังชั้นผิวหนังทำลายเนื้อเยื่อรอยแผลที่นูนให้เรียบยิ่งขึ้น หากได้รับการทำเลเซอร์อย่างต่อเนื่องแผลอาจมีขนาดเล็กลงและเรียบได้
5.การผ่าตัด ในกรณีที่เกิดแผลมานานแล้ว เพื่อจัดรูปทรงและตำแหน่งของแผลให้ดีขึ้น ตัดส่วนที่เป็นแผลนูนออก และสามารถลดขนาดของรอยแผลเป็นได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็อาจจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นในรูปแบบอื่นได้อีกด้วย
จากบทความนี้สามารถสรุปได้ว่า แผลเป็นเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถหายขาดได้อย่าง 100% ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดคือการระวังไม่ให้เกิดรอยแผลเป็น แต่ถ้าหากเกิดขึ้นแล้วสามารถแก้ได้ในหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของทุกท่าน
ที่มาข้อมูล : www.pobpad.com/