วิตามินกินตอนไหนดี
วิตามินและอาหารเสริมเป็นตัวช่วยเติมสารอาหารที่ร่างกายเราขาดไป และไม่ใช่แค่บำรุงสุขภาพเท่านั้น ซึ่งในบางคนยังกินวิตามินเพื่อบำรุงผิว บำรุงผม หรือบางคนก็กินวิตามินเพื่อลดสิว ลดหน้ามันด้วย แต่คำถามยอดฮิตของทุกคนคือ การกินวิตามินต่างๆนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร วิตามินกินตอนไหนดี สามารถทานเวลาเดียวกันได้หรือไม่ หรือกินเวลาไหนจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด วันนี้ สุขภาพดีดี.com มีคำตอบให้กับทุกคน แยกเป็นประเภทและชนิดการกินวิตามินที่แตกต่างกัน
วิตามินซี |
- วิตามินซีเป็นวิตามินที่ฮิตมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด แก้อาการเลือดออกตามไรฟัน
- ทั้งนี้เวลาที่ควรที่ควรกินวิตามินซี คือ เวลาเช้าหลังจากรับประทานอาหาร เพราะวิตามินซีมีกรดที่อาจทำให้กระเพาะอาหารระคายเคืองได้ ซึ่งอาหารจะเป็นตัวช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีได้ดีขึ้นด้วย
- ซึ่งสิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือร่างกายเราจะดูดซึมวิตามินซีได้เพียง 50% จากปริมาณที่เรากินไปและจะอยู่ในร่างกายได้ไม่นานเพราะจะถูกขับออกทางปัสสาวะ
- ดังนั้น ควรแบ่งรับประทาน เช่น กินวิตามินซี ขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 2-3 ครั้ง หรือจนครบขนาดที่แนะนำ แทนการกินวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม เพียงครั้งเดียว
- นอกจากนี้ หากหวังผลในเรื่องบำรุงผิว ชะลอความเสื่อมของผิวพรรณ ก็สามารถกินวิตามินซีคู่กับคอลลาเจนได้อีกด้วย
วิตามินบี |
- วิตามินบีเป็นวิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดของการกินวิตามินบีรวม วิตามินบี 12 บี 6 หรือ วิตามินบีอื่น ๆ ควรกินในตอนเช้าขณะที่ท้องว่างจะดีที่สุด เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดี
- หรือถ้าหากกินตอนท้องว่างแล้วรู้สึกระคายเคืองกระเพาะอาหาร แนะนำให้กินระหว่างมื้ออาหารเช้า หรือหลังอาหารเช้าแทน จะช่วยกระตุ้นระบบประสาท ให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า พร้อมทำกิจกรรมต่าง ๆ
- และด้วยสรรพคุณนี้จึงไม่ควรกินวิตามินบีตอนเย็น หรือก่อนนอน เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับได้
วิตามินอี |
- เป็นวิตามินที่ช่วยในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ เพราะวิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ พบได้ในอาหารกลุ่มน้ำมันพืช เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย อัลมอนด์
- ด้วยคุณสมบัติที่ละลายในไขมัน เราจึงควรกินวิตามินอีร่วมกับอาหารที่มีไขมันเล็กน้อย เช่น นม โยเกิร์ต ถั่วต่างๆ หรือจะกินคู่กับอะโวคาโดก็ได้ และควรได้รับไม่เกิน 1,000 ไมโครกรัมต่อวัน
วิตามินดี |
- เป็นวิตามินที่ร่างกายของเราสามารถผลิตเองได้ง่ายๆ เพียงสัมผัสแสงแดดในช่วงเช้า 10 นาทีเท่านั้น พบมากในอาหารจำพวกน้ำมันตับปลา นม ไข่แดง ปลาทู ปลาแซลมอน
- โดยวิตามินดีจะช่วยเก็บแคลเซียมเข้ากระดูก ป้องกันโรคกระดูกบางและกระดูกพรุนได้ หากอยากให้ร่างกายผลิตวิตามินดีมาเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
- หมั่นตื่นเช้าและมาเดินเล่นรับแสงแดดก็จะดีมาก ได้ทั้งวิตามินดี แถมยังได้ออกกำลังกายยามเช้าอีกด้วย
- ทั้งนี้ ร่างกายคนเราควรได้รับวิตามินดีไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อวัน และ ควรกินวิตามินดีระหว่างมื้ออาหารหรือหลังอาหารเช้าหรือเที่ยงไม่เกิน 30 นาที
- ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายจะเริ่มดูดซึมสารอาหาร และไขมันจากอาหารจะมาช่วยเป็นตัวทำละลายให้ร่างกายดูดซึมวิตามินดีอย่างเต็มที่มากขึ้น
วิตามินเอ |
- เป็นวิตามินที่ช่วยในการผลิตโรด็อปซิน หรือสารสีที่ช่วยให้เรามองเห็นในที่มืด จึงทำให้ไม่เป็นโรคตาฟางในตอนกลางคืน และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคทางสายตาอื่นๆ
- อีกหลายโรคได้ นอกจากนี้ วิตามินเอยังช่วยบำรุงรักษาเยื่อบุผิวของอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก และยังมีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอีกด้วย
- ทั้งนี้ วิตามินเอพบมากในอาหารจำพวกฟักทอง มะละกอ แครอท หรือผักสีเข้ม แม้ว่าวิตามินเอจะมีประโยชน์มาก
- แต่กินเยอะไปก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะการกินวิตามินเอมากจนเกินไปนั้นจะส่งผลต่อตับและสมองได้
- รวมทั้งยังทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้อีกด้วย โดยการกินวิตามินเอให้ได้ประสิทธิภาพ เราควรกินระหว่างมื้ออาหารหรือหลังอาหารไม่เกิน 30 นาที
วิตามินเค |
- เป็นวิตามินที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้จากแบคทีเรียในลำไส้ การกินยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้แบคทีเรียในลำไส้ตายได้
- ดังนั้น แพทย์จะสั่งวิตามินเคเพิ่มให้กับผู้ที่ต้องกินยาดังกล่าวหรือคนที่จำเป็นต้องกินวิตามินเคเสริม
- การที่ร่างกายของเราได้รับวิตามินเคอย่างเพียงพอ จะช่วยให้การแข็งตัวของเลือดทำงานได้เป็นปกติ หากเราขาดวิตามินเคจะทำให้เลือดออกง่ายและหยุดช้าซึ่งอันตรายมากๆ
- ดังนั้น เราจึงควรกินอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเคให้เพียงพอในแต่ละวัน ซึ่งมักพบได้ในผักใบเขียว มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ ไข่แดง น้ำมันถั่ว ตับ เนื้อหมู
- หากกินเป็นวิตามินเสริมควรกินระหว่างมื้ออาหารหรือหลังอาหารไม่เกิน 30 นาที
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นวิตามินหรืออาหารเสริมประเภทไหน ก็ไม่ควรกินมากจนเกินไป เพราะอาจมากเกินความต้องการจนเกิดผลข้างเคียง หรือสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะคนที่มีอาการป่วย หรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน เพื่อความปลอดภัยของร่างกายนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจาก สุขภาพดีดี.com
ที่มา : https://www.muangthai.co.th