ข้าวเหนียวมะม่วง เมนูต้องห้ามผู้ป่วยโรคไต
หน้าร้อน อากาศร้อนแบบนี้ เมนูที่จะไม่นึกถึงไม่ได้เลยก็คือเมนูของหวานอันเป็นที่กระแสอยู่ตอนนี้ ” ข้าวเหนียวมะม่วง “ ที่เป็นที่นิยมและเป็นที่โปรดปรานของใครหลายๆคนมาเป็นเวลานาน สังเกตได้จากเมื่อเข้าหน้าร้อน ร้านอาหาร ร้านขนม หรือแม้กระทั่งร้านกาแฟต่างๆก็จะทำเมนูที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียวมะม่วงออกมากันอย่างแพร่หลาย เช่น ไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วง, ข้าวเหนียวมะม่วงสมูตตี้ เป็นต้น
ล่าสุดยอดข้าวเหนียวมะม่วงเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากโชว์บนเวทีคอนเสิร์ตระดับโลก หลังจากที่แรปเปอร์สาว มิลลิ ดนุภา คณาธีรกุล กินข้าวเหนียวมะม่วงโชว์ ก่อนจบการแสดงบนเวทีระดับโลกอย่าง Coachella Valley Music and Arts Festival 2022
ในนามศิลปินเดี่ยวหญิงคนแรกของประเทศไทย แรปเปอร์สาวชื่อดังจากค่าย YUPP กับการร่วมงานกับ 88rising ทำให้บรรยากาศร้านข้าวเหนียวมะม่วงกลับมามีสีสันอีกครั้ง โดยมีประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาซื้อข้าวเหนียวมะม่วงอย่างต่อเนื่อง
กระแสข้าวเหนียวมะม่วงดังขนาดนี้ ทำให้หลายๆคนคงอยากรับประทานกันใช่ไหมคะ แต่รู้หรือไม่ว่า ข้าวเหนียวมะม่วง นั้นเป็นเมนูต้องห้ามของผู้ป่วยหลายโรค ยกตัวอย่างเช่น โรคไต โรคเบาหวาน เป็นต้น วันนี้ สุขภาพดีดี.com ได้รวบรวมข้อมูลดีๆมาให้ทุกคนได้อ่านกัน ว่าทำไมถึงห้ามรับประทาน ในหัวข้อ ข้าวเหนียวมะม่วง เมนูต้องห้ามผู้ป่วยโรคไต
เหตุผลที่ข้าวเหนียวมะม่วง เสี่ยงต่อผู้ป่วยโรคไต |
เนื่องมาจากในมะม่วงสุกมีปริมาณโพแทสเซียมสูงซึ่งอาจจะส่งผลให้ไตทำงานหนัก จะทำให้เกิดภาวะ Hyperkalemia หรือโพแทสเซียมในเลือดสูง คือภาวะที่มีปริมาณโพแทสเซียมในเลือดสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน
สาเหตุมักเกิดจากความผิดปกติของไต เช่น ไตวายเฉียบพลัน โรคไตเรื้อรัง ส่งผลให้ไตมีความสามารถในการกำจัดโพแทสเซียมที่ร่างกายไม่ต้องการลดลง ซึ่งหากมีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงมากอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจโดยตรงซึ่งอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ทานอย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ |
1. ควรรับประทานมะม่วงในปริมาณมากกว่าข้าวเหนียวมูน
โดยปริมาณที่เหมาะสมคือควรรับประทานมะม่วงประมาณ 1 ลูก ข้าวเหนียวมูนปริมาณครึ่งหนึ่งของมะม่วง
2. ควรรับประทานในช่วงเวลากลางวัน
เนื่องจากช่วงเวลากลางวันร่างกายเราต้องการพลังงานไปใช้ทำกิจกรรมต่างๆ จึงส่งผลให้หากรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงในช่วงเวลานี้ร่างกายยังคงจะนำไปใช้และเผาผลาญได้ ไม่ควรรับประทานในช่วงเวลาเย็นเป็นต้นไปเพราะจะทำให้ร่างกายนำเอาพลังงานที่ได้จากข้าวเหนียวมะม่วงไปใช้ได้ไม่หมดส่งผลให้เกิดเป็นไขมันสะสมตามมานั่นเอง
3. เปลี่ยนจากข้าวเหนียวมูนสีขาวเป็นสีดำ
เนื่องจากในข้าวสีดำจะอุดมไปด้วยสารอาหาร ไฟเบอร์ และแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่มากกว่าข้าวขัดสีแล้วอย่างข้าวขาว ทางที่ดีถ้าอยากทานให้ได้สุขภาพก็ลองเปลี่ยนมาเป็นข้าวสีดำก็จะดีไม่น้อย
4. ราดกะทิแต่น้อย
กะทิเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ข้าวเหนียวมะม่วงมีอรรถรสมากยิ่งขึ้น แต่ในกะทิอุดมไปด้วยไขมันมหาศาลซึ่งหากรับประทานมากไปก็เกิดโทษต่อร่างกาย ทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูง ไขมันไปอุดตัวในหลอดเลือดจนเกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานได้
แต่อย่างไรก็ตามกะทิก็มีประโยชน์สามารถช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีและกะทิยังช่วยทำให้วิตามินเอและอีจากมะม่วงดูดซึมดีขึ้นอีกด้วย แต่ทางที่ดีควรรับประทานแต่น้อยหรือจะเลือกรับประทานกะทิธัญพืชทดแทนก็ได้เช่นกัน
5. รับประทานแต่พอดีแล้วอย่าลืมออกกำลังกาย
ควรรับประทานแต่พอเหมาะและอย่าลืมออกกำลังกายร่วมด้วยเพราะว่าข้าวเหนียวมะม่วง 1 จานนั้นมีแคลอรี่เทียบเท่ากับรับประทานอาหารในมื้อหลักเลยทีเดียว
สุขภาพดีดี.com เป็นห่วงสุขภาพของทุกท่าน อยากให้ทุกท่านมีสุขภาพที่ดี ดังนั้นควรรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและออกกำลังกายเป็นประจำนะคะ ^^