ชีวิตดี ดี (หรอ?) ที่กรุงเทพ กับ Work Life Balance
บุคคล 1 คน ผู้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศ มุ่งหวัง หมายมั่น ปั้นมือ กับชีวิตใน Stage ถัดไป เกี่ยวกับเรื่องของการวางแผนการทำงาน เพราะในวัยหลังจากจบการศึกษานั้น บัณฑิตผู้มีหัวใจเปี่ยมไปด้วยไฟแรง ปลุกพลัง ในความต้องการอยากเปลี่ยนแปลง บางอย่าง ทั้งกระบวนการใช้ชีวิต ตำแหน่ง สถานะ สภาพทางสังคม และ เงินตรา
ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่อ้างถึง เป็นปัจจัยที่ช่วยนำพาหลายชีวิต นับแค่การจบในระดับปริญญาตรีอย่างเดียว ก็ 4 แสน เข้าไปแล้ว ตามสถิติปี 62 มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพ หรือ เมืองหลวงของประเทศไทย เป็นศูนย์รวมของเหตุผลทั้งหมด ที่ได้กล่าวมาข้างต้น เนื่องด้วยการกระจุกตัวของบริษัท ที่เป็นลักษณะของ Office และแน่นอนอยู่แล้วว่า Office คือบริบทของการทำงานที่ไม่ต้องไปลำบากลำบน ทำงานกลางแดด ตากแดด ตากลม ลงแรง ทำงาน แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า การทำงานแบบลงแรง เป็นงานที่ไม่ดี เพียงแต่ว่ามันไม่ตอบโจทย์มุมมองทางด้านการทำงานสมัยใหม่ หากให้ตั้งคำถามตรงๆว่า ถ้าเกิดคุณเรียนจนจบปริญญา คุณจะอยากออกไปทำนา เกี่ยวข้าวหรือไม่ นอกเหนือจากการเรียนในภาควิชาเกษตรกรรม ซึ่งถ้าทำงานเป็นชาวนา ก็เป็นงานที่ตรงสาย ก็ถูก แต่ต้องไม่ลืมว่านักวิชาการเกษตรก็มีเช่นเดียวกัน และ เป็นการนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะสบายๆ ในห้องแอร์ และ การทำงานในกทม. ยังสามารถให้คุณ Switch สายงานได้อีกด้วย ถึงแม้บางครั้ง ทำงานไม่ตรงสายแต่งานสบาย ได้เงินโอเค เหมาะสำหรับคนจบใหม่ ก็เป็นอะไรที่ยอมรับได้ แบบปฏิเสธได้ยาก ตามบริบททางสังคมที่เกิดขึ้นจริง
อีกส่วนนึงที่เสริมเรื่องของการตั้งใจเข้ามาทำงานจริงๆในกทม. คือเรื่องของความสะดวกสบาย ความทันสมัยในการชีวิต การคมนาคม และ เรื่องของสาธารณูปโภค ที่ต้องยอมรับว่า มีความพร้อมมากว่าต่างจังหวัดมาก หากมองเป็นมวลรวม ไม่รวมหัวเมืองต่าง ๆ คุณจะไปเที่ยวไหนก็ได้ มีให้เลือกมากมาย คุณจะนอนห้องแบบไหนก็ได้ มีให้เลือกสรรนับไม่ถ้วน คุณจะกินข้าวเวลาไหนก็ได้ เพราะร้านสะดวกซื้อหลายๆ เจ้า ก็เปิด 24 ชม. คุณจะเดินทางยังไง แล้วจะมีอะไรให้กังวลกับการทำงานในกทม กันล่ะ เพราะทุกอย่างดูง่ายไม่มีอะไรติดขัด
แต่ลืมไปรึเปล่าว่า เมื่อเป็นสังคมเมือง การกระจุกตัวของประชาการค่อนข้างหนาแน่นที่สุดในประเทศจำนวนกว่า 8.281 ล้านคน และยังไม่นับที่ตกหล่น เป็นจำนวนเกือบ 1 ส่วน 6 ของประชากรทั้งหมดในประเทศ นี่คือแค่จังหวัดเดียวจาก 77 จังหวัด ดังนั้นแล้วให้โฟกัสเรื่องความหนาแน่นเป็นหลักเพราะนั่นหมายความถึง การรวมตัวกันใช้บริการสาธารณะ และ สาธารณูปโภคต่างๆ รวมถึงที่อยู่อาศัยและอื่นๆอีกมาก
ให้จินตนาการถึงภาพของการเดินทางบนรถไฟฟ้าที่หนาแน่นทุกเช้า เพราะทุกคนเร่งไปทำงานตอนเช้า ขยายตัวไปถึงรถเมลและอื่นๆ การขับรถส่วนตัวออกไปทำงาน และ เส้นทางอื่นๆอีกมาก ทำให้ถนนของกทม.เป็นนรกของการจราจรทุกเช้าเย็น หรือพูดง่ายๆว่า รถติด ติดทุกวัน ติดเกือบทุกเวลา เพราะมีการขยายการเดินทางด้วยเส้นทางรถไฟฟ้า ทำให้เกิดการก่อสร้าง ในเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่นอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ติดเข้าไปอีก และ ถ้าหากมองว่าปัญหานี้อาจจะไม่จริงหรือคิดไปเอง ให้ลองไปขับรถเล่นช่วงเช้าแถวถนนลาดพร้าว หรือ ถนนรามอินทราเพื่อพิสูจน์เส้นทางการสร้างตามแนวรถไฟฟ้าก็ได้ และมันไม่ใช่เวลาสั้นๆ เพราะการสร้างรถไฟฟ้าที่หนึ่ง หรือ สายนึง กินเวลามากกว่า 5 ปี จินตนาการว่าต้องตื่นออกไปทำงานทุกเช้า แล้ว รถโคตรติดในทุกๆวันเป็นเวลา 5 ปี มันจะเป็นความทุกขนาดไหน หากให้ตีว่าทุกๆวันคุณต้องอยู่บนท้องถนนไปกลับเป็นเวลากว่า 4 ชม กินเวลา 120 ชม ต่อเดือน เท่ากับปีนึง คุณใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนกว่า 2 เดือน หรือ 60 วัน นั่นไม่น้อยเลยกับเวลาที่ต้องเสียให้การการจราจรที่คับคั่ง เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลเพียงข้อเดียวของการใช้ชีวิตในเมือง ที่ยังไม่รวมประเด็นของค่าครองชีพ ที่กล้ารับประกันว่าแพงกว่าอยู่ต่างจังแน่นอน และยังเวลาที่เร่งรีบมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ในแต่ละวัน แล้วนั่นเป็นชีวิตดี ดี ที่คุณต้องการจากเมืองกรุงรึเปล่า?
อ่านมาถึงตรงนี้ คงเริ่มรู้สึกแล้วว่า เห้ย การใช้ชีวิตในเมืองที่เจริญของไทยอย่างกทม. ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อมาอยู่กทม. จุดประสงค์เบื้องต้นที่กล่าวอ้าง หนีไม่พ้นเรื่องของการทำงานอย่างแน่นอน แล้วคนเมืองมีวิธีการ ในการจัดการชีวิตในสังคมเมืองอย่างไร ให้ลงตัว กับประเด็นของ work life balance
Work life balance กับ ชีวิตดี คืออะไร ?
หากจะให้อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ถึงหัวข้อกังกล่าว คงเป็นประเด็นเรื่องของการแบ่งเวลาของการใช้ชีวิต และ การทำงานควบคู่กันไปอย่างมีคุณภาพ โดยไม่มีอะไรกินอีกสิ่งนึง จนทำให้เสียฟังก์ชัน หรือ การปฏิบัติต่อสิ่งนั้นให้ดีออกไป เพราะ Balance หมายถึงทั้งสองฝั่งเท่ากัน แต่ถ้าพิเคราะห์ให้ลึกลงไปแล้ว การแยกเรื่องของทั้งสองสิ่งออกจากกันให้มีความพอดี แทบเป็นไปไม่ได้เลยในเรื่องของความเป็นจริง เพราะว่าทั้งเรื่องของงาน และ เรื่องชีวิต ต่างถูกผูกพันด้วยผู้คนจำนวนมาก ทั้งเรื่องของเจ้านาย ลูกน้อง ลูกค้า หรือ ระบบการทำงาน ต่างผูกพันกับคน หรือ ชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง แล้วจะจัดการเรื่องของความสมดุล ระหว่างงานกับชีวิตได้อย่างไร
มองในอีกมิติของการทำงานในสายงานอิสระ หรือเรียกว่า ฟรีแลนส์ หรือ อาชีพรับจ้างอิสระ ตามสายหรือความถนัดของผู้ทำงาน ยิ่งทำให้การจัดการชีวิต ยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะการทำงานแบบนี้ แทบจะไม่สามารถแบ่งได้เลยว่าวันไหน เวลาไหน คือเวลาของการใช้ ชีวิตดี เวลาไหนคือเวลางาน เพราะลูกค้ามักเลือกจ้างงานจาก 3 ปัจจัยหลัก
1.ราคา
2.ความสวย
3.ความรวดเร็ว
ในตลาดของการแข่งขัน ใครจัดการเรื่อง สามเรื่องให้ดีที่สุด มักได้งานก่อน แต่นั่นไม่ใช่ของฟรี เพราะการจะได้อะไรดีๆมา ต้องแลกกับบางอย่างไปอย่างแน่นอน สิ่งแรกที่เตรียมสำหรับแลกได้เลยในเบื้องต้น คือ เวลา ถ้าคุณทำฟรีแลนส์ คุณต้องทำให้ตัวเองพร้อม และ สามารถจัดการรื้องาน ในเวลาใดก็ได้ที่ลูกค้าต้องการ แม้ในเวลาดังกล่าวจะเป็นเวลาตี 3 แล้วก็ตามที นั่นแปลว่าคุณภาพ ชีวิตดี หรือ ชีวิตที่ยอดเยี่ยม ได้จางหายไปจากคุณทีละนิด นอกจากจะไปรถติดในท้องถนนเพื่อพบลูกค้าดีลงานแล้ว ยังต้องมาคอยตามเช็ดตามล้าง แก้ดราฟเป็น 10 เป็น 100 แล้วลูกค้ากลับไปเลือกดราฟแรกที่คุณเซฟทับไปแล้วซะงั้น ??
NANI!!!! คำอุทานภาษาญี่ปุ่น ที่แปลความหมายว่าเห้ยจริงดิ,อะไรวะเนี้ย หรือ จริงหรือวะ อะไรก็ได้ที่ทำให้ตะโกนออกมาแล้วรู้สึกขัดในใจว่าเอาอย่างงี้จริงหรือ หรือ ต้องการแบบนี้หรอ เกิดได้ง่ายมากในหมู่ผู้ทำงานฟรีแลนส์ ใครว่าละวาฟรีแลนส์สบาย เพราะไม่ได้มี Fig Cost หรือเงินเดือนแบบพนักงาน Office ด้วยซ้ำ จำนวนเงินขึ้นอยู่กับความขยันในการทำงาน ทำให้ต้องเอาเวลาไปแลก เพื่อให้ได้ทำงานเยอะ และ มีเวลามากพอจะปั่นงานทั้งหมดที่รับมา
อีกหนึ่งปัญหาที่พบเจอได้แน่นอนเลยคือเรื่องของความเครียด
ยิ่งในสถานการณ์โควิด 19 ที่ทำให้การจ้างงาน หรือ การรับจ้าง มีปริมาณน้อยลง เพราะการถอถอยของเศรษฐกิจทั้งโลก ที่ไม่ได้นับแค่ประเทศไทย ทำให้งานนอก หรือ งานฟรีแลนส์ยิ่งน้อยลงไปอีก จึงเกิดเป็นสำนวนว่า กำขี้ดีกว่ากำตด มหกรรมการตัดราคาเกิดขึ้นแล้วในหมู่ผู้รับงาน ใครราคาดีสุดมีโอกาสได้รับงาน ในการณีที่คุณเป็นหน้าใหม่ แต่ถ้าพอมีผลงาน หรือ มีประวัติการจ้างงานที่ดี อาจจะสามารถเกร็งราคาเอาไว้ด้วยประสบการณ์และชื่อเสียง แต่ถามว่ากว่าจะได้อยู่ในจุดนั้น คุณต้องเพาะตัวเองกี่ปี ถึงจะเป็นที่รู้จักในวงการที่ทำงานอยู่ฆ กว่าจะได้รับการยอมรับจากตลาด แล้วรับแต่งานราคาถูก รับรองตายก่อนแน่ๆ
ภาวะที่แทรกเสริมเพิ่มเติมเข้ามา คือ ความเครียด ตัวการของปัญหาสุขภาพ ตั้งแต่จิตตก นอนไม่หลับ ไปจนถึงอื่นๆ ได้อีกมากมาย และ เรามักไม่รู้ว่าจะจัดการปัญหาความเครียดอย่างไร สุขภาพดีดี ขอแนะนำ
น้ำมันจมูกข้าว RICE GERM OIL Maxxlife 30 แคปซูล
น้ำมันจมูกข้าว เพื่อการนอนหลับที่ลึกขึ้น และควบคุมระดับคลอเลสเตอรอล
MaxxLife Rice Germ Oil Plus Gamma Oryzanol แม็กซ์ไลฟ์ น้ำมันจมูกข้าว ผสมแกมมา โอไรซานอล 100 มก. 30 แคปซูล
น้ำมันจมูกข้าวผสมแกมมา โอไรซานอล 100 mg. / เลขที่ทะเบียน อย. 10-1-01949-1-1236
จุดเด่นผลิตภัณฑ์ : แกมมา โอไรซานอล เข้มข้น โดสสูง เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
วิธีใช้ : รับประทานวันละ 1 แคปซูล
ส่วนประกอบสำคัญใน 1 แคปซูล ประกอบด้วย :
น้ำมันจมูกข้าว 387 มก.แกมมา โอไรซานอล 100 มก.ดี-แอลฟา โทโคเฟอริล อะซิเตท 13 มก.
Rice Germ Oil Plus Gamma Oryzanol 100 mg. (จมูกข้าว) คือ ส่วนที่มีคุณค่าทางอาหารสูงที่สุดในเมล็ดข้าวแต่ละเมล็ด น้ำมันจมูกข้าวหรือ Rice Germ Oil จึงเป็นสารสกัดที่อุดมไปด้วยวิตามินอี ที่สำคัญจมูกข้าวยังมีสาร Gamma Oryzanol ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ
Gamma Oryzanol มีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับไขมันดี(HDL) ในร่างกายซึ่งช่วยลดคลอเรสเตอรอล และ ไตรกลีเซอไรด์ เป็นสารที่มีบทบาทในการป้องกันโรคหัวใจ และ โรคที่เป็นผลมาจากหลอดเลือดตีบตันด้วย นอกจากนี้ วิตามินอียังช่วยรักษาความสมดุลของฮอร์โมน และ บำรุงผิวพรรณ
Antioxidant คือ สารต้านอนุมูลอิสระ ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย Anti-agingลดระดับของไขมันในเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจอุดตันเพิ่มการหลั่งสาร Endophine Hormone ช่วยผ่อนคลายความเครียด และ หลับสบายลดอัตราการเกิดภาวะวัยทองลดคลอเลสเตอรอล และ ไตรกรีเซอไรด์ลดไขมัน HDL